เลี้ยงลูกอย่างไรให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในวันข้างหน้า

เมื่อเช้าหมอได้อ่านความเห็นมากมายเกี่ยวกับว่าทำอย่างไรจึงจะเลี้ยงลูกให้เป็นคนดีคืนนี้เหมือนเดิมค่ะ หมอจะมาเล่าให้ฟังถึงความคิดของหมอ ตรงนี้ไม่มีถูกมีผิด อ่านแล้วสามารถแชร์ความเห็นได้เหมือนเดิม เปิดรับทุกๆความคิดค่ะ1.หมอคิดว่าก่อนหน้าทุกๆอย่าง ในอันดับแรกนั้น พ่อแม่คงต้องมีความเชื่อและศรัทธาในคุณงามความดีก่อน จึงจะเลี้ยงดูลูกให้เป็นคนดีได้2.เด็กจะประพฤติดี พูดดี ทำดี นั้น ต้องมีจิตใจดี มั่นคง มีความสุข ซึ่งต้องมาจากพื้นฐานความสัมพันธ์ของเด็กและผู้ใหญ่ที่ดูแล หากความสัมพันธ์ดี เด็กรู้สึกได้รับความรักและความอบอุ่น การดูแลเอาใจใส่ เด็กจะรู้สึกว่าเขาพึ่งพ่อแม่ได้ พ่อแม่เข้าใจ รักและยอมรับเขา เด็กจะมีความพร้อมในการส่งต่อความรักและความสุขที่เขามีไปสู่คนรอบข้าง3.เด็กจะเรียนรู้จากแบบอย่างที่เห็น การปฏิบัติต่างๆที่ทำต่อกัน ทำร่วมกัน และสิ่งทีเด็กเห็น ซึ่งมีอิทธิพลต่อเด็กมากกว่าการใช้คำพูดพร่ำสอน4.ควรปลูกฝังตั้งแต่เด็กยังเล็ก โดยให้เด็กมีมารยาท สอนการอยู่ร่วมกันในสังคม รู้จักไหว้ สวัสดี ขอบคุณ ขอโทษ ทำความเคารพผู้ใหญ่ โดยอย่าลืมว่าผู้ใหญ่ต้องเป็นแบบอย่างด้วย5.สอนให้เด็กเข้าใจความรู้สึกต่างๆ เช่นเวลาที่หกล้มมีความรู้สึกเจ็บ ไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการคือเสียใจ ให้เด็กเรียนรู้จากประสบการณ์ในชีวิตประจำวัน และบอกเด็กว่าคนอื่นๆก็มีความรู้สึกเช่นนี้ ผู้ใหญ่ปลอบโยนเวลาที่เด็กรู้สึกไม่ดี เมื่อมีคนเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกเขา เขาก็จะสามารถเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกคนอื่นๆได้ เป็นจุดเริ่มต้นของความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น หรือ เอาใจเขามาใส่ใจเรา6. เมื่อเขาเห็นอกเห็นใจผู้อื่นได้ เขาก็จะไม่รังแก ไม่แกล้ง ไม่ทำให้ใครเจ็บ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น มีเมตตากรุณา รู้จักแบ่งปัน การให้และการรับ7.นอกจากให้ความรักและการดูแล ต้องให้ในเรื่องระเบียบวินัยที่เหมาะสม เด็กต้องรู้ขอบเขตของตนเอง ไม่ใช่อยากทำหรืออย่ากได้อะไรก็ได้หมด เด็กต้องเรียนรุ้ที่จะ รอคอย ยับยั้งชั่งใจ ซึ่งพ่อแม่ต้องฝึกตั้งแต่เล็ก 8.ที่สำคัญต้องทำเป็นแบบอย่าง เด็กจะไม่เรียนรู้หากผู้ใหญ่ทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับคำพูดซึ่งกระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่ต้องเกิดขึ้นอย่างค่อยๆเป็นค่อยๆไป พ่อแม่จะต้อง อดทน สม่ำเสมอ และให้โอกาส ยอมรับในตัวตนของเด็ก#หมอมินบานเย็น

หลายคนบอกว่าเด็กสมัยนี้เลี้ยงยาก
อาจจะด้วยสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป
วิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่ไม่เหมือนเดิม
เทคโนโลยีได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมากขึ้น
ทำให้พ่อแม่หลายคนกลุ้มใจ
ว่าจะเลี้ยงลูก(ในยุคไซเบอร์)อย่างไรให้ได้ดี

ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ได้ให้หลักการสำคัญ
ในการดำเนินชีวิตกับเราครอบคลุมรอบด้าน
รวมถึงการเลี้ยงดูลูกในยุค 2019นี้ด้วยครับ

หลายคนอาจจะคิดว่า พระคัมภีร์มีมานานหลายพันปีแล้ว
จะโบราณไปหรือเปล่า จะเข้ากับยุคสมัยไหม?
ไม่ต้องห่วงครับ แม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนไป
แต่หลักการในพระคัมภีร์ไม่เคยเปลี่ยน

แน่นอนครับว่าเด็กเป็นของขวัญที่มาจากพระเจ้า
แต่สิ่งที่เราต้องเข้าใจก็คือเมื่อโตขึ้น
เด็กเหล่านี้มีอิสระในการคิด การตัดสินใจ
ดังนั้นเราปฏิเสธไม่ได้เลยครับว่า
เด็กโตมาจะดีหรือร้ายนั้น
ล้วนเป็นผลมาจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ทั้งสิ้น
แล้วจะเลี้ยงลูกคนนึงให้เติบโตขึ้นมา
อย่างมีคุณภาพได้อย่างไรล่ะ?
——————————————-
อย่างแรกสำคัญมากๆครับ นั่นคือ..
ให้ความสำคัญด้านจิตวิญญาณครับ
ในยุคนี้สมัยนี้ เอื้อต่อการเลี้ยงลูกด้วยเงิน
หรือปรนเปรอลูกด้วยวัตถุสิ่งของ
ทำให้พ่อแม่หลายท่านละเลยเรื่องจิตวิญญาณ

คุณเคยดูหนังเรื่อง 300 ขุนศึกพันธุ์สะท้านโลกไหมครับ
เรื่องนี้ถูกสร้างขึ้นจากเรื่องจริงในประวัติศาสตร์
ที่พวกสปาร์ตันได้ทำสงครามกับคนเอเธนส์
พวกสปาร์ตันจะเน้นคนที่รูปร่างภายนอก
ส่วนคนเอเธนส์จะเน้นเรื่องของสติปัญญาและจิตวิญญาณ
ในฉากแรกของหนังนำเสนอได้หดหู่แต่น่าสนใจ
พวกสปาร์ตันมีกฎอย่างหนึ่งคือ..
ถ้าเด็กผู้ชายคนไหนคลอดออกมาแล้ว
ลำตัวยาวไม่ถึง 65 เซนติเมตรก็จะฆ่าทิ้ง
ในขณะที่ฝั่งเอเธนส์ ไม่ว่าเด็ก
จะคลอดออกมาตัวขนาดไหนก็เลี้ยง
เพราะเขาสนใจคนที่ข้างใน
ปรากฏว่าเมื่อสปาร์ตันทำสงครามกับเอเธนส์
ใครชนะครับ?คนแข็งแรงของสปาร์ตันหรือเปล่า?
เปล่าเลยครับ กลับเป็นคนเอเธนส์ต่างหาก
เพราะว่าอะไร?เพราะจิตวิญญาณสำคัญกว่าเนื้อหนัง
การเลี้ยงลูกก็เช่นกันครับพี่น้องที่รัก
เงินทอง วัตถุสิ่งของเหล่านั้น
ทดแทนอ้อมกอดของพ่อแม่ไม่ได้ฉันใด
สิ่งที่เป็นเนื้อหนังหรือคุณค่าภายนอก
ก็ทดแทนชีวิตฝ่ายวิญญาณไม่ได้ฉันนั้น
(โรม8:6)
——————————————
อย่างที่ 2 เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูก
ในพระธรรมสุภาษิต29:19 บอกเอาไว้ว่า
“สักแต่ใช้คำพูดเท่านั้นจะฝึกสอนคนใช้ไม่ได้
เพราะถึงแม้เขาจะเข้าใจ แต่เขาก็ไม่ฟัง”

มีคำพูดนึงบอกว่า “เด็กตาดีกว่าหู”
พ่อแม่พูดไปเถอะครับ ปากเปียกปากแฉะ
แต่ท้ายที่สุดเค้าจะดูสิ่งที่พ่อแม่ทำครับ
—————————————–
อย่างที่ 3 สอนลูกให้มีความมั่นคงในสถานภาพของตัวเอง
มีการสำรวจเด็กในอเมริกา โดยถามว่า..
เด็กอายไหมที่พ่อแม่ทำงานเก็บขยะ
อายไหมที่มีคุณพ่อคุณแม่ขายอาหาร
เด็กอเมริกาไม่อายครับเพราะเขาถือว่า
อาชีพที่พ่อแม่ทำนั้นสุจริต มีเกียรติ
ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ต้องให้เด็กมั่นใจ
ว่าสิ่งที่คุณทำอยู่นั้นเป็นสิ่งที่ดี มีความสัตย์ซื่อ
คุณไม่ได้ทำความผิด ไม่ได้ลักขโมยใคร
ไม่ได้ผิดศีลธรรม สิ่งนี้จะทำให้เด็กมั่นใจ
และมีความมั่นคงในตัวเองจนกระทั่งเขาโตเป็นผู้ใหญ่ครับ
——————————————-
อย่างที่ 4 มีการสื่อสารอย่างเหมาะสม
ในสังคมทุกวันนี้พ่อแม่ต้องทำงานหาเงิน
แต่ลูกๆก็ยังต้องการพ่อแม่อยู่นะครับ
นานแค่ไหนแล้วครับ ที่คุณไม่ได้พูดคุยกับลูก
อย่าปล่อยให้ทีวี เกม หรือโทรศัพท์มือถือ
พูดกับลูกๆของคุณมากกว่าตัวคุณเลยนะครับ!
——————————————-
อย่างที่ 5 ให้ความรักอย่างถูกต้องและเหมาะสม
อย่ารักแบบไม่มีเหตุผลนะครับ
เพราะนั่นจะเข้าข่ายพ่อแม่รังแกฉัน
ทุกวันนี้โรคนึงที่กำลังระบาดในเด็กรุ่นใหม่
คือโรคไม่รู้จักความลำบาก
เพราะพ่อแม่เลี้ยงลูกให้รู้จักแต่ความสบาย
ไม่ต้องทำงาน ทุกอย่างพ่อแม่ประเคนให้หมด
ถ้าโตขึ้นมา ระวังลูกเราจะลำบากนะครับ
——————————————-
อย่างที่ 6 สอนลูกที่จะให้อภัย และรับการอภัย
ความเกลียดชังและความเคียดแค้น
เป็นเหมือนการสะสมสารพิษไว้ในใจ
และอาจจะฝังรากลึกในวัยเด็กจนเก็บกด
หรือมีพฤติกรรมที่แปลกจนน่าเป็นห่วง
ดังนั้นเมื่อเด็กๆไม่สบายใจ
พ่อแม่ผู้ปกครองต้องทำความเข้าใจ
ให้คำแนะนำเพื่อปรับสภาพจิตใจ
เพื่อลูกของเราจะสามารถให้อภัยคน
หรือเหตุการณ์เลวร้ายในชีวิตได้
และรับการอภัยจากคนอื่นด้วยเช่นกัน
——————————————-
อย่างสุดท้าย สร้างวินัยเชิงบวกให้กับลูก
มีคำกล่าวแบบนี้ครับว่า…
การเอาใจใส่หรือการปล่อยปละละเลยมากไป
การคาดหวังมากไปหรือการลงโทษที่เกินกว่าเหตุ
ล้วนแต่เป็นยาพิษที่ทำลายการเติบโตที่ดีงามของลูก
แต่การสร้างวินัยเชิงบวกให้กับลูก
ลงวินัยอย่างเหมาะสมเมื่อทำผิด
ปลูกฝังระเบียบวินัย ศีลธรรมที่ดีงาม
จะสร้างความประพฤติที่เหมาะสมให้กับเขา

“ไม้เรียวและคำตักเตือนให้เกิดปัญญา
แต่ถ้าปล่อยเด็กไว้แต่ละพัง
จะนำความอับอายมาสู่มารดาของตน”
(สุภาษิต29:15)

You need to add a widget, row, or prebuilt layout before you’ll see anything here. 🙂